สำหรับข้อดีของสารสกัดสเต็มเซลล์จากจมูกข้าวคือสามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี ผลิตได้ตามต้องการกล่าวคือสามารถควบคุมและสร้างสภาวะการเพาะแคลลัส (callus) หรือเซลล์ที่รวมกันเป็นกลุ่มและยังไม่เป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใดๆ เพื่อให้มีสารสำคัญได้ตามต้องการ อีกทั้งการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ยังช่วยให้ไม่มีสารเคมีตกค้าง ไม่มีจุลินทรีย์ปนเปื้อน เพราะต้องเลี้ยงสเต็มเซลล์ในสภาวะปลอดเชื้อ และข้อสุดท้ายได้สารสำคัญในปริมาณที่สูง
ในขั้นตอนการ "เพาะแคลลัส" นั้น ทีมวิจัยเก็บข้าวเปลือกของข้าว พันธุ์ ข้าวหอมมะลิ จากนั้นก็กะเทาะเปลือกออก โดยระวังให้สวนจมูกข้าวยังติดอยู่กับเม็ดข้าว และนำไปฆ่าเชื้อในน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วนำไปใส่ในอาหารแข็งที่มีสารอาหารเหมาะสมสำหรับการเจริญเป็นสเต็มเซลล์
"เมื่อผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะพบว่ามีแคลลัสหรือสเต็มเซลล์เกิดขึ้น"
ส่วนเหตุผลที่เลือกผลิตเซรั่มจากสเต็มเซลล์ เพราะเป็นระยะที่เซลล์ต้องเลือกว่าจะเจริญเติบโตไปเป็นส่วนใด ทำให้ภายในเซลล์มีโกรทฮอร์โมน (growth hormone) มากกว่าเซลล์ระยะอื่น โดยในการศึกษาสเต็มเซลล์จมูกข้าวเพื่อนำมาผลิตเซรั่ม ทีมวิจัยได้ศึกษาคุณสมบัติต้านความชราจากสารสกัดสเต็มเซลล์ข้าวเทียบกับสารสกัดจากข้าว
ทีมวิจัยได้ศึกษาปริมาณสารฟีนอลิก (phenolic) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ FRAP และมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างเมลานิน สารฟีนอลิกยังกระตุ้นการเจริญของเซลล์ผิวหนังและเซลล์ผม และจากการทดสอบสารสลัดจากสต็มเซลล์และสารสกัดจากข้าวในน้ำหนักที่เท่ากัน พบว่าปริมาณสารสำคัญที่ได้จากสเต็มเซลล์ข้าวนั้นมีมากกว่าสารสกัดจากข้าว
"เมื่อทำการทดสอบปริมาณสารสำคัญแล้วทีมวิจัยจึงนำสารสกัดจากสเต็มเซลล์มาใส่ในสูตรตำรับพื้นรูปแบบโลชั่นที่ทางทีมวิจัยได้คิดค้นขึ้นมาเอง และทดสอบเปรียบเทียบระหว่างครีมเปล่าที่ไม่ได้ใส่สเต็มเซลล์ข้าว ครีมที่ผสมสเต็มเซลล์ข้าว และครีมข้าวจากเกาหลี โดยเปรียบเทียบในเรื่องการสร้างความระคายเคือง ความชุ่มชื้น ความขาวกระจ่างใส และความยืดหยุ่นของผิว เป็นเวลา 12 สัปดาห์"
จากการทดสอบพบว่าเมื่ออาสาสมัครใช้เซรัมสเต็มเซลล์ดังกล่าวครบ 3 สัปดาห์ ก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ โดยสารสกัดจากข้าวไทยจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าครีมอื่นๆ ที่มาเปรียบเทียบประมาณ 2-3 เท่า และ ดร.นิสากรบอกด้วยว่า การทาเซรั่มจมูกข้าวที่ผิวหนังโดยตรงจะให้ผลที่ดีกว่าแบบที่เป็นอาหารเสริมจากจมูกข้าว เพราะสามารถซึมเข้าผิวได้โดยตรง
ทั้งนี้ ความชราของผิวหนังนั้นเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ซึ่งอาจเกิดจากทั้งปัจจัยภายใน เช่น การเกิดหรือการบางลงของผิวหหนัง ปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวที่ลดลง และปัจจัยภายนอก เช่น การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ มลภาวะ ควันบุหรี่และแสงแดด
Jasmine Rice Extract
มีสรรพคุณในการชะลอความแก่ ช่วยลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำบนผิวทำให้ผิวกระจ่างใส ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและเอนไซม์ที่เกี่ยวกับการสลายคอลลาเจน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
Hyaluronate Extract
ช่วยอุ้มน้ำและป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุการเกิดริ้วรอยแห่งวัยมีน้ำมีนวลแลดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติในการ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย ช่วยให้ผิวแลดูเรียบเนียน นุ่ม ชุ่มชื่นสุขภาพดีอีกด้วย
Allantoin Rice Extract
มีคุณสมบัติพิเศษจะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ และซ่อมแซมเนื้อเยื้อให้สมบูรณ์ ซ่อมแซมเซลล์ผิว ลดเลือนฝ้ากระเเละจุดด่างดำ ช่วยในเรื่อง มีผิวที่เรียบเนียนนุ่มชุ่มชื้น ลดการเกิดผิวแห้งลอก ลดการระคายเคืองต่อผิวหลังจากถูกสารเคมี หรือแสงแดด และสารนี้ยังอ่อนโยนต่อผิว
Beta-Glucan Extract
ช่วยปกป้องผิวจากการระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้นผิว ลดริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ฟื้นฟูผิวที่อยู่ในสภาพอ่อนแอ ระคายเคือง แพ้หรือแห้ง ให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
Jusmine Rice Serum
นวัตกรรมสารสกัดที่วิจัยพัฒนา
สเตมเซล ครั้งแรกที่ผลิตได้ที่ไทย
นักวิจัยไทยสกัดสเต็มเซลล์จากจมูกข้าวได้เซรั่มชะลอการเกิดริ้วรอย-ยับยั้งการเกิดเม็ดสี สกัดได้ทั้งปี ไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากสร้างนวัตกรรมให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางแล้ว ยังผลิตได้ทั้งปีจากรวงข้าวในทุ่งนาไทย
"ประเทศไทยยังไม่มีการผลิตสเต็มเซลล์จากพืชไทย และยังไม่มีการผลิตสเต็มเซลล์ในไทย ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทยต้องไปซื้อสเต็มเซลล์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังต้องการสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าของวัตถุจากธรรมชาติที่มีอยู่ และเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าสารตั้งต้นของเครื่องสำอางหรือเครื่องสำอางจากต่างประเทศ อีกทั้งยังต้องการชูศักยภาพของผลิตภัณฑ์จากของในประเทศไทย จากคนไทยเพื่อคนไทย และจากโจทย์วิจัยนี้เองทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์เซรั่ม สเตมเซล ขึ้นมา"